|
สถิติการนำเข้าแร่ของประเทศไทย ปีงบประมาณ 2561-2562
|
การนำเข้าแร่ในช่วงปีงบประมาณ 2562 มีมูลค่าการนำเข้า 60,950.6 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย โดยมีมูลค่าการนำเข้า 70,310.4 ล้านบาท มีอัตราการลดลงร้อยละ 1.93
โดยกลุ่มแร่เชื้อเพลิง (Mineral Fuels and Energy) ยังคงเป็นกลุ่มแร่หลักที่มีการนำเข้ามากที่สุดและต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตพลังงานที่จำเป็นต่อการผลิตไฟฟ้าและพลังงานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าสูงถึง 50,530.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73.28 จากมูลค่าการนำเข้าแร่รวมทั้งหมด โดยมีมูลค่าลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน คือ 52,813 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 75.11 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 4.32 สัดส่วนลดลงร้อยละ 2.44 โดยถ่านหินชนิดอื่นๆ (Coal Solid Fuels from Coal) มีมูลค่าลดลง และถ่านหินบิทูมินัส (Bituminous coal) มีมูลค่าสูงขึ้น แต่ก็ยังคงมีมูลค่าการนำเข้าอยู่ในอันดับสูงสุด มีมูลค่าการนำเข้า 26,462.8 และ 22,532.1 ล้านบาท ตามลำดับ
รองลงมาได้แก่ กลุ่มแร่โลหะพื้นฐาน (Base Metals) โดยมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 6.29 มูลค่ารวม 4,339.7 ล้านบาท แม้จะลดลงมาเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2561 ที่มีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 6.82 มูลค่ารวม 4,794.4 ล้านบาท ซึ่งแร่ดีบุก (Tin ore) และแร่อลูมิเนียม (Aluminium ore) มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุดลดที่ 4,003 และ 246.8 ล้านบาท แต่มูลค่าเมื่อเทียบกับปีก่อนลดลงร้อยละ 8.85 และ 26.09 ตามลำดับ
และ กลุ่มแร่ในอุตสาหกรรมอื่นๆ (Other Industrial Minerals) มีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 5.83 ของมูลค่าการนำเข้าแร่รวมทั้งหมด มีมูลค่ารวม 4,017.1 ล้านบาท แร่ที่มีการนำเข้าสูงสุดในกลุ่มนี้ ได้แก่ แร่ทัลค์ (Talc) มีมูลค่าการนำเข้า 1,686.5 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.27
สำหรับแร่โมลิบดิไนต์ (Molybdenite ore) และ ไนโอเบียมและวาเนเดียม (Niobium and Vanadium ore) มีมูลค่าการนำเข้าอยู่ในลำดับต้นๆ เมื่อเทียบกับปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 2,446.6 และ 1,972.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.01 และ 37.58 ตามลำดับ |
|
|